วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมทดสอบกลางภาคเรียน


ให้นักเรียนอ่านบทความแล้วดำเนินการดังนี้
1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ
เป็นบทความที่นำเสนอการสอนแนะให้รู้คิด มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้และทักษะพื้นฐานในการแก้ปัญหา การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับความสนใจและความแตกตางระหว่างบุคคลของผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด ฝึกให้คิดเป็น ทำเป็น และจะมุ่งเน้นความสำคัญทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ และคุณธรรม โดยครูเป็นเพียงผู้ชี้นำและใช้คำถามเกิดการอภิปรายระหว่างผู้เรียนเท่านั้น เพื่อพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดของนักเรียน เห็นถึงความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับชีวิตจริงและสามมารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
2.ถ้าท่านเป็นครูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร
ถ้าเป็นครูผู้สอน ดิฉันจะใช้การสอนแบบเน้นผู้เรียนให้มีความคิด ความรู้ และทักษะไปพร้อมๆกัน เพื่อช่วยในการพัฒนาความคิด ความเข้าใจ เพราะคณิตศาสตร์จะมีบางเรื่องง่ายและบางเรื่องก็ยากดิฉันจึงจะใช้วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและจะเน้นเพื่อการปฏิบัติจริงเพื่อช่วยในการคุ้นเคยในการเรียนการสอน
3.ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบการเรียนการสอนที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร 
ในฐานนะที่ได้เป็นครูในอนาคตรูปแบบในการเรียนการสอนของดิฉันจะมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน มุ่งเน้นในทักษะการคิดของผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับความสนใจและความแตกตางระหว่างบุคคลของผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด ฝึกให้คิดเป็น ทำเป็น และจะมุ่งเน้นความสำคัญทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ และคุณธรรม เพื่อช่วยในการคิดวิเคราะห์และพัฒนาความเข้าใจทางคณิตศาสตร์และความสามารถในการคิดของนักเรียน เห็นถึงความสัมพันธ์ของการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับชีวิตจริงและสามมารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

2.บทความเรื่อง ความเป็นครูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล วารสารทักษิณ
ให้นักเรียนอ่านบทความแล้วดำเนินการดังนี้
1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ
บทความนี้จะกล่าวถึงความเป็นครูของพระองค์ท่านเคยรับสั่งว่า ประเทศชาติจะเจริญหรือเสื่อมลงได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสำคัญ ความเป็นครูของพระองค์คือ ประการแรก ทรงทำให้ดูพระองค์ได้เป็นครูที่พยายามจูงใจนักเรียนให้มาสนใจและเข้าใจด้วยตนเอง สอนให้รู้จักใช้พฤติกรรมในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ธรรมะของพระองค์คือความดี ความถูกต้องเป็นฐาน เป็นความเรียบง่ายที่เข้าถึงแก่นชีวิตและจิตใจ ทรงสอนอยู่ตลอดเวลา จะไม่บีบบังคับ ทรงสอนให้เราอย่าใช้อารมณ์เป็นเครื่องมือ ควรใช้ปัญญาและเหตุผลเป็นเครื่องนำทาง สอนให้ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ อีกหลักหนึ่งที่สอนมาตลอดคือ ให้ยึดฐานเดิมของเราไว้ พระองค์จึงเป็น ครูของแผ่นดิน
2.ถ้าท่านเป็นครูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร
            ถ้าได้เป็นครูผู้สอนดิฉันจะนำความรู้ที่ได้จากบทความนี้ไปประยุกต์ในกับการเรียนการสอนคือจะเป็นผู้ที่เน้นการศึกษาและผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังที่พระองค์ได้เป็นแบบอย่างคือได้ทำให้ดูเพื่อที่พยายามจูงใจผู้เรียนให้มาสนใจ และจะอยู่บนฐานความดี และความถูกต้อง
3.ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบปารเรียนการสอนที่ที่จำนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร
ในฐานะที่จะเป็นครูในอนาคตรูปแบบในการเรียนการสอนของดิฉัน จะเป็นรูปแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จะเป็นครูสอนที่คอยชี้นำผู้เรียน คือ จะเป็นแบบอย่างที่ดี จะทำให้ผู้เรียนดูก่อนเพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจ และจะให้ความสำคัญกับการศึกษา และจะเป็นคนดี มีความถูกต้อง

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 7


1.สอนเรื่องอะไร ผู้สอนชื่อ ระดับที่สอน
เรื่อง ลบเลขไม่ต้องยืม เทคนิคการแก้ปัญหาการลบเลข
ผู้สอน ผศ.ชัยศักดิ์ ชั่งใจ รร.สาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม
ระดับ ประถมศึกษา
2. เนื้อหาที่ใช้สอนมีอะไรบ้าง
ผศ. ชัยศักดิ์ ชั่งใจ ได้เห็นว่า นักเรียนระดับชั้นประถมส่วนใหญ่จะมีปัญหาลบเลขผิดบ่อย ในการทำโจทย์คณิตศาสตร์ โดยส่วนมาก ถ้าเป็นโจทย์ที่ตัวตั้งมากกว่าตัวลบมักจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าตัวตั้งน้อยกว่าตัวลบแล้วต้องมีการยืม และบางครั้งเป็นการยืมหลายหน่วย นักเรียนจะสับสนหรือลืม ทำให้ได้คำตอบที่ผิด
ผศ.ชัยศักดิ์  จึงคิดวิธีการลบเลขแบบไม่ต้องยืมตัวทดขึ้นมา ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้นักเรียนสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ได้ง่ายขึ้น โดยนำไปถ่ายทอดให้แก่อาจาย์สอนคณิตศาสตร์หลายท่านได้นำไปทดลองใช้สอนนักเรียน และผลที่ได้คือ นักเรียนทำโจทย์ผิดน้อยลง สนุกกับการเรียนมากขึ้น
3. จัดกิจกรรมการสอน
           -     นักเรียนจำหลักการลบเลขโดยไม่ต้องยืมได้ โดยให้ฝึกฝนบ่อยๆ
-        สร้างทัศนะคติเชิงบวกต่อวิชานั้นๆแก่ผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนมีกำลังใจและเกิดความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้ ยกตัวอย่างเช่น ในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เมื่อผู้เรียนไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาหรือทำผิดบ่อย ก็จะเกิดความไม่ชอบต่อวิชานี้ และนำไปสู่การปิดกั้นที่จะเรียนรู้หลักการอื่นๆในวิชานี้ต่อไป ครูผู้สอนนอกจากมีหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้เรียนแล้ว ยังต้องสามารถหาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคนด้วย ครูผู้สอนสามารถนำหลักการตามวิดีทัศน์นี้ประยุกต์ไปใช้สอนเรื่องการลบเลขให้กับนักเรียนได้เลย
-          ส่งเสริมให้ครูผู้สอนหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดแก่ผู้เรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
4. บรรยากาศการจัดห้องเรียน
บรรยากาศในห้องเรียนน่าเรียน น่าสนใจ ดึงดูดความสนใจกับเด็กได้ดี
มีการนำวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นสื่อในการเรียนการสอน มีเทคนิคการสอนที่น่าสนใจ
ได้ความรู้โดยตรงจากการฝึกทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อน ทำให้เด็กสนุกและเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น





กิจกรรมที่ 6


กิจกรรมที่ 5

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นาง กรองกาญจน์  ตุลโน ชื่อเล่น กรอง
ที่อยู่ปัจจุบัน  บ้านเลขที่ 351 หมู่ 7 ตำบล ทุ่งนารี อำเภอ ป่าบอน จังหวัด พัทลุง
ประวัติการศึกษา
                จบ ป.6 จากโรงเรียนบ้านโล๊ะหาร
                จบ ม.6 จาก โรงเรียนรัตภูมิพิทยาคม
                จบปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรจน์ ภาคใต้ (มหาวิทยาลัยทักษิณ)
                คณะ สังคมศาสตร์ (ศ.บ.)
                ปริญญาเอก ประวัติศาสตร์
                ปริญญาโท บริหารธุรกิจ
ประวัติการทำงาน
เริ่มรับบรรจุ วันที่ 5 กันยายน 2538 ที่โรงเรียนป่าบอนพิทยาคม จนถึงปัจจุบัน
                สอนในกลุ่มสาระสังคมศึกษา
สิ่งที่ดีนำมาใช้ในการพัฒนา
อาจารย์เป็นอาจารย์ที่สอนไม่เครียด สอนสนุก เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่น ให้คำปรึกษา และคอยชี้แนะให้กับนักเรียนในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องชีวิต เรื่องอนาคต   อาจารย์กรองกาญจน์  ตุลโน เป็นอาจารย์ที่สอนให้นักเรียนคิดเอง ทำเอง คือ จะสอนแล้วให้นักเรียนรับหัวข้อของเรื่องที่จะสอนไปศึกษา แล้วทำเป็นแผนการเรียนรู้ แล้วนำมาเสนอให้เพื่อนๆฟังในคาบต่อไป อาจารย์เป็นคนที่เข้านักเรียน เวลานักเรียนมีปัญหา ท่านจะเป็นคนที่รับฟังแล้วให้ข้อคิดที่ดีมาก สิ่งที่อาจารย์เป็นแบบอย่างก็ทำให้เรามีความคิดที่จะเป็นครูอย่างไรให้นักเรียนประทับใจเหมือนที่ดิฉันประทับใจในตัวอาจารย์

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4

สรุป เรื่อง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
การทำงานเป็นทีม  จะทำงานได้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้และสามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นและจะจำเป็นต้องกะทำด้วยสุจริตทั้งกายและใจ จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายที่พึงประสงค์โดยครบถ้วน การทำงานเป็นทีม  จะเป็นประโยชน์สูงสุดขององค์กร  และมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากกว่าการทำงานคนเดียว  แต่การสร้างทีมงานนั้นต้องใช้ เวลา ในการพัฒนาบุคคล  และพัฒนาทีมงานพอสมควร จึงจะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ การทำงานเป็นทีม” เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
            1.การยอมรับความแตกต่างของบุคคล
 2.แรงจูงใจของมนุษย์
 3.ธรรมชาติของมนุษย์
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพควรเข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายชัดเจน  เปิดเผยจริงใจและร่วมกันแก้ปัญหา  สนับสนุนไว้วางใจ ยอมรับ และรับฟังกัน  ร่วมมือกัน ใช้ความขัดแย้งในเชิงสร้างสรรค์  ทบทวนการปฏิบัติงานและตื่นตัวตลอดเวลา  มีการพัฒนาตนเอง  รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น เข้าใจต่อเพื่อนร่วมงาน และสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี

ตอบคำถาม เรื่อง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
1. แนวคิดหลักการทำงานเป็นทีม เป็นอย่างไร
แนวคิดและหลักการทำงานเป็นทีมนั้นควรมี 3 ประการคือ การยอมรับความแตกต่างของบุคคล มีแรงจูงใจของ ธรรมชาติของมนุษย์
2. นักศึกษาจะมีวิธีการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบ
การทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพนั้นเราควรมีความสามรถในการใช้วิชาความรู้และความสามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นและในการทำงานนั้นไม่ควรมีการแบ่งหน้าที่ไปด้วยตนเองเราควรปรึกษาหารือกัน เพราะเราจะได้รู้จักตนเองและรู้จักผู้อื่น และได้เข้าใจต่อเพื่อนร่วมงานและสามารถร่วมกลุ่มกันได้เป็นอย่างดี และสมาชิกต้องทุ่มเทกำลังกาย ความคิด  เพื่องานจะได้ประสบความสำเร็จและทุกคนจะต้องตระหนักเสมอว่างานที่ที่สำเร็จนั้นเป็นผลงานของทีม ไม่ใช่ผลงานของคนใดคนหนึ่ง 





กิจกรรมที่ 3


1.การจัดการเรียนการสอน จัดชั้นเรียน เตรียมการสอน ในยุคศตวรรษที่ 21 กับยุคก่อนศตวรรษที่ 21 เปรียบเทียบกันแตกต่างกันอย่างไร 
การจัดการเรียนการสอนในยุคศตวรรษที่ 21 กับยุคก่อนศตวรรษที่ 21 คงจะมีการเรียนรู้ที่คล้ายกันคือจะเป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตอยู่รอด มีผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีความรู้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ การศึกษาเกิดขึ้นในโรงเรียนเท่านั้น เมื่อก่อนมนุษย์จะไม่รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง โรงเรียนต้องกล่อมเกลามนุษย์ให้เป็นส่วนหนึ่งในสังคม ส่วนในปัจจุบันนี้การเรียนรู้คือชีวิต สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ การเรียนรู้จะมีทุกทีทุกแห่งหน การศึกษาจะเป็นกิจกรรมตลอดชีวิต ผู้เรียนสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง

2.ครูผู้สอนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรในอนาคตที่ท่านจะเป็นครูยุดต่อไปข้างหน้า ให้สรุปตามแนวคิดของนักศึกษา
การจัดการเรียนรู้ในอนาคตครูที่ดีจะต้องเป็นครูที่มีความพร้อมอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นความพร้อมที่จะมาสอนหรือความพร้อมของเนื้อหาและในการจัดการเรียนรู้ควรจัดให้มีความหลากหลายเพราะผู้เรียนมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และต้องให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ความคิดเห็นที่จะเรียนรู้ ในการเรียนควรจะใช้ระบบเครือข่ายเพื่อศึกษาสิ่งอื่นที่รอบด้านและเป็นคนที่ทันโลกอยู่ตลอดเวลา




วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 2

ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
มาสโลว์ เป็นผู้วางรากฐานจิตวิทยามนุษยนิยม เขาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ ซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบการศึกษาของอเมริกันเป็นอันมาก ทฤษฎีของเขามีพื้นฐานอยู่บนความคิดที่ว่า การตอบสนองแรงขับเป็นหลักการเพียงอันเดียวที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ เขาแบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ ความต้องการความปลอดภัย ความต้องการทางสังคม ความต้องการยกย่องชื่อเสียง ความต้องการที่จะรู้จักตนเอง
Douglas Mc Gregor :ทฤษฎี X และทฤษฎี Y เป็นทฤษฎีการมองต่างมุม ทฤษฎี X เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ทฤษฎี Yเป็นปรัชญาการบริการจัดการ โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
William Ouchi : ทฤษฎี Z เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกัน หรือทฤษฎีร่วมสมัย เป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์ ดังนั้นวิลเลี่ยม จึงศึกษาถึงจุดดีของการบริหารจัดการจากสองค่ายนำมาสร้างเป็นแนวคิดขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ การที่จะทำความเข้าใจทฤษฎี Z ได้นั้น ต้องทำความเข้าใจของทฤษฎี A และทฤษฎี J ก่อน ทฤษฎี A คือเป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกาการบริหารจัดการแบบนี้ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ทฤษฎี J คือ การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่นมีลักษณะการจ้างงานตลอดชีวิตจะส่งเสริมให้มีการฝึกงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปทฤษฎี Z เป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ
Henry Fayol: เป็นบิดาของทฤษฎีการจัดการการปฏิบัติการ เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ
อังริ ฟาโยล (Henri Fayol) เป็นนักอุตสาหกรรม ชาวฝรั่งเศส มีประสบการณ์ด้านการบริหารองค์การของรัฐขนาดใหญ่ได้นำเสนอหลักการทีเขาเรียกว่า หลักการจัดการ 14 ประการมีการจัดแบ่งงาน การมีอำนาจหน้าที่ ความมีวินัย เอกภาพของสายบังคับบัญชา เอกภาพในทิศทาง ผลประโยชน์ของหมู่คณะ มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม ระบบการรวมศูนย์ สายบังคับบัญชา ความเป็นระบบระเบียบ ความเท่าเทียมกัน ความมั่นคง การริเริ่มสร้างสรรค์ วิญญาณแห่งหมู่คณะ
Max Weber : ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy เขาเห็นว่าเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น สรุปแล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6 ประการมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ มีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ มีระเบียบ และกฏเกณฑ์ ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ
Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม 7 ประการมาใช้ในการบริหารจัดการ ในวงการบริหารจะรู้จักกิจกรรมทั้ง 7 ด้านมาใช้นั้นสอดคล้องกับทฤษฎีการบริหารจัดการของ Henri Fayol , Frederick W.Taylor และ Max Weber
Frederick Herzberg : ทฤษฎี 2 ปัจจัย ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจโดยเฟรเดอริค เฮิร์ซเบอร์ก ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือปัจจัยภายนอกนั้นจะเป็นแรงจูงใจที่สนองตอบต่อความต้องการภายนอกของคน ส่วนปัจจัยภายในจะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญต่อคนมากกว่าปัจจัยภายนอกส่วนปัจจัยภายในจะก่อให้เกิดแรงจูงใจกับคนอยู่ได้นานกว่าปัจจัยภายนอก
Frederick W. Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่ 1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือก 3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด 4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ
Henry L. Gantt : ผู้พัฒนาการอธิบายแผนโดยใช้กราฟ เป็นสื่อในการอธิบายแผน การวางแผน การจัดการ และการควบคุมองค์กรที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อให้ผู้รับฟังเกิดมิติในการรับรู้มากยิ่งขึ้น
Frank B. & Lillian M. Gilbreths : Time – and – Motion Studies เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง การศึกษาที่สำคัญคือลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำงาน ผังกระบวนการทำงาน ถือว่าเป็นเรื่องของการลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการทำงาน สำคัญถึงขนาดจะต้องทำสัญญาต่อกันเลยว่าจะต้องปฏิบัติให้ได้ ถ้าทำไม่ถึงเกณฑ์ก็จะอดโบนัส หรือได้น้อยลงไป

สรุปจากเอกสารบริหารการศึกษา

บทที่ 1
มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
การบริหาร  เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ ซึ่งหมายถึง การจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆของรัฐ ส่วนการบริหารของรัฐหมายถึงการบริหารหรือการจัดการหรือดำเนินการในด้านรายละเอียดอย่างมีระเบียบ ส่วนความสำคัญของการบริหารเป็นการดำรงอยู่รวมกันของมนุษย์  เป็นผลทำให้การบริหารของหน่วยงานต่างๆได้ขยายงานอย่างกว้างขวาง  การบริหารการศึกษา  หมายถึง  กิจกรรมต่างๆ  ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ  เพื่อพัฒนาสังคมในทุกๆด้าน และการบริหารการศึกษา หมายถึงกิจกรรมต่างๆที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมในทุกๆด้าน
บทที่  2
วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
วิวัฒนาการด้านรัฐกิจให้ความหมายการบริหารงานของรัฐหมายถึง การบริหารหรือจัดการหรือดำเนินการในด้านรายละเอียดอย่างมีแบบแผน ซึ่งเกี่ยวพันกับกฎหมายต่างๆของรัฐการใช้กฎหมายคือการบริหาร ส่วนวิวัฒนาการด้านธุรกิจในระบบมีการใช้วิธีฝึกจากการทำงานการจัดการ เป็นสาขาที่สำคัญ  นอกจากการใช้  “ระเบียบวินัยในการทำงาน” การบริหารด้านธุรกิจมีการวางกฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติวัตถุประสงค์และการรวมพลังของกลุ่ม  ดังนั้นปรัชญาของการบริหารธุรกิจจึงมุ่งแสวงหากำไรมากกว่าอย่างอื่น  ผลประโยชน์นายทุนเป็นเป้าหมายสำคัญในการแบ่งยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหารจะแบ่งได้ดังนี้ในยุคที่ 1 นักทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม จะจัดการงานซึ่งได้ปฏิบัติ โดยอาศัยหลักควบคุมทางวินัย ส่วนการประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษาจะมีความสับสนมาก  การต่อรองการแสดงความไม่พอใจของพนักงานในเรื่องอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารมีอยู่เสมอ  ทฤษฎีสมัยเดิมเริ่มไม่สู้เหมาะสม  ผู้บริหารจะคำนึงการใช้อำนาจอย่างที่เคยได้รับความเชื่อถือก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลง ใน ยุคที่2  ยุค  Human  Relation  Era  ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ความรู้ความชำนาญของผู้บริหาร  คือ  ผู้บริหารต้องมีความรู้  ความฉลาด  และมีประสบการณ์เพื่อมาเป็นผู้นำหือหังฃวหน้ากลุ่ม ส่วนการประยุต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษาเราสามารถนำหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารการศึกษา ส่วนในยุคที่ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ เป็นการจัดองค์การที่เป็นทางการจึงให้ทฤษฎีองค์การและยึดตามแนวมนุษยสัมพันธ์ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล  มุ่งด้านระบบขององค์การ  และสนใจจะพูดถึงพฤติกรรมศาสตร์
บทที่  3
งานบริหารการศึกษา
การบริหารการศึกษาจะไม่แตกต่างกับการบริหารงานทั่วไป กล่าวคือสามารถนำหลักการของของการบริหารทั่วไปมาใช้กับการบริหารศึกษาได้ ผลเสียของการบริหารดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ง่าย  เพราะจะมีลักษณะเผด็จการโดยการสั่งการสั่งจากเบื้องบน  มีคำสั่งให้ครูปฏิบัติและมีข้อห้ามในการกระทำ  และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการลงโทษหากผู้ใดฝ่าฝืนและลงโทษตามกฎหมายกำหนดและมีเครือข่ายทางการศึกษาดังนี้
1.การผลิต หมายถึง กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้น
2.การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน หมายถึง กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
3.การเงินและการบัญชี หมายถึง  การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ
4.บุคลากร คือ  การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย
5.การประสานงาน  คือ  เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา
บทที่  4
กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
การบริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ  เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน  ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา  การบริหารราชการ  และการบริหารธุรกิจจะแตกต่างกัน  และปรัชญาการศึกษา  ในการบริหารการศึกษาผู้บริหารนั้นจะต้องรู้เกี่ยวกับหลักการบริหาร  ที่สามารถนำไปเป็นหลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี  2 เรื่อง คือ  1.การจัดระบบสังคม 2.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา สำหรับหลักการจัดระบบการศึกษา  ไม่ว่าระดับชาติ  ระดับท้องถิ่น  ระดับโรงเรียน คือจะต้องรู้จักเด็กทุกคน  โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญา สภาพแวดล้อมของโรงเรียน และมีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียนอย่างเท่าเทียมกันโดยกระบวนการบริหารการศึกษา  เป็นความคิดรวบยอดและเป็นการจัดระบบการศึกษา ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน
บทที่  5
องค์การและการจัดองค์การ
องค์การตามแนวคิด หมายถึงส่วนประกอบที่เกิดจากระบบย่อยหลายระบบที่มีปฏิสัมพันธ์  กันภายใต้สิ่งแวดล้อมหรือระบบใหญ่ เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น  3  ลักษณะใหญ่ๆคือ
1.             องค์การทางสังคม
2.             องค์การทางราชการ
3.             องค์การเอกชน
     แนวคิดในการจัดองค์การ
1.  แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
2.  แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง  “ผู้ปฏิบัติงาน”
3.  แนวในการจัดการองค์การ  จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป
     ความสำคัญของการจัดองค์การเป็นที่รวมของคนและเป็นที่รวมของงานต่างๆ  เพื่อให้พนักงานขององค์การ  ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
    องค์ประกอบในการจัดองค์การ
                1.  หน้าที่การงานเป็นภารกิจ
                2.  การแบ่งงานกันทำ
                3.  การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ
    ทฤษฎีองค์การ  ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีขององค์การอันด้มาจากสังคมวิทยา  รัฐศาสตร์  และบางส่วนของจิตวิทยาสังคมกับเศรษฐศาสตร์                 
ระบบราชการและองค์การทางการศึกษา ให้ความหมายไว้ว่าระบบราชการ  หมายถึง  ระบบการบริหารที่มีลักษณรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก  มีความอิสระในการปฎิบัติงานและเป็นกึ่งทหาร

บทที่ 6
การติดต่อสื่อสาร
การติดต่อสื่อสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการบริหารที่ดี มีความหมายว่ากระบวนการติดต่อเกี่ยวข้องและประสานงานกันระหว่างบุคคล โดยอาศัยวิธีการถ่ายทอด และการรับข้อมูลเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ การติดต่อสื่อสารจึงมีความสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดหรือเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันและยังมีความสำคัญในการดำเนินการในองศ์การอย่างมาก ปัจจัยในการติดต่อสื่อสารมี 3 ตัว คือ สื่อ ช่องทางที่สื่อผ่านและกระบวนการ รูปแบบของการติดต่อสื่อสาร การจัดเตรียม การสังเกตการณ์ของกระบวนการ การจำแนกปัจจัยผันแปร ชึ่งสิ่งเหล่านี้จะกำหนดทิศทาง ช่วยให้ผู้บริหารจับประเด็นปัญหาของการติดต่อสื่อสาร และช่วยป้องกันความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นก่อนล่วงหน้า องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสารจะมีผู้ส่งสาร ช่องทาง ข้อมูล ผู้รับสาร การตอบรับ ส่วนการติดต่อสื่อสารจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข่าวสารมีความเข้าใจระหว่างผู้ปฎิบัติงานเพื่อการทำงานไปด้วยดี ช่วยสร้างทัศนคติเกิดแรงจูงใจ เพื่อเกิดแรงจูงใจ
บทที่ 7
ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ หมายถึงการเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน หน้าที่ผู้นำเกี่ยวข้องกับ การอำนวย การจูงใจ การริเริ่ม กำหนดนโยบาย วินิจฉัยสั่งการ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ มีผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์ ผู้นำกับผู้บริหารจะแตกต่างกันคือผู้นำก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่วนผู้บริหารเป็นผู้รักษาความมั่นคงในหน่วยงาน ผู้นำจะกลุ่มยกย่องเนื่องจากมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษเหนือบุคคลอื่นเนื่องจากผู้บริหารมีรูปแบบเป็นทางการ
บทที่ 8
การประสานงาน
การประสานงาน คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่งๆร่มมือปฎิบัติงานเป็นน้ำหนึ่งเดี่ยวกัน เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบาย ความมุ่งหมายในการประสานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานโดยไม่จำเป็น และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน ภารกิจในการประสานงานที่ดี ควรทราบถึงภารกิจที่ดีในการประสานงานคือต้องทราบนโยบาย แผนงาน งานที่รับผิดชอบ และทรัพยากร ส่วนหลักการประสานงานควรจัดให้มีระบบในการสื่อสาร ความร่วมมือ การประสานงานและนโยบายที่ดี และในการประสานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วควรจะมีโครงสร้างที่จัดเป็นระบบแบบแผน มีแผนภูมิแสดงสายการบังคับ มีการเขียนนโยบาย มีระบบเสนองาน มีเครื่องมือและระบบสื่อสารที่เพียงพอและเปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วม การประสานงานที่ดีจะมีประโยชน์หลายอย่างคือช่วยลดการขัดแย้ง ลดปัญหาที่ซับซ้อน ทำให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ช่วยให้ประหยัดเงิน เวลา
บทที่ 9
การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
การตัดสินใจคือการชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนงานไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือการสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางขึ้นไป หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน  ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก และการแสวงหาคำแนะนำ
บทที่ 10
ภารกิจของผู้บิหารโรงเรียน
ผู้บริหารโรงเรียน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆ  จะมีหลายด้าน ดังนี้   1.การบริหารงานวิชาการ จะเป็นหัวใจของการบริหารในโรงเรียน ลักษณะและความสำคัญของงานวิชาการ จึงถือว่างานวิชาการท้าทายผู้บริหารการศึกษา งานวิชาการจะเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และผู้บริหารจะต้องรับรู้ รับผิดชอบ ควบคุมดูแลในการดำเนินการวางแผน  2.การบริหารบุคคล คือการจัดงานเกี่ยวกับคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมให้กำลังใจผู้ปฎิบัติให้ทำงานอย่างมีปะสิทธิภาพ  ความสำคัญของการบริหารบุคคล คือ คนเป็นผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น วัตถุประสงค์ เพื่อสรรหาและเลือกสรรคนดี มีความรู้ความสามารถมาทำงานให้เกิดผลสูงสุดอยู่กับองศ์การนานๆ  3.การบริการธุรการในโรงเรียน คืองานธุรการเป็นเรื่องของการให้บริการแก่หน่วยงานต่างๆของโรงเรียนหรอสถาบันการศึกษา ส่งผลให้การเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ความสำคัญจะเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักร(งานวิชาการ) ทำงานได้ดีและเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสามารถของผู้บริหารงาน หน้าที่ของผู้บริหารงานธุรการ คือจะเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายงานธุรการ ติดตามและวางแผนการปฎิบัติงาน จัดระบบงาน  4.การบริหารงานนักเรียน เป็นการบริการงานเกี่ยวกับนักเรียนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนในห้องเรียน หลักในการจัดกิจกรรม ต้องให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเสมอภาค ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของสถานศึกษา ต้องปลูกฝังความคิด  5.การบริหารอาคารสถานที่และบริการด้านอื่นๆ คือการรู้จักจัดหา รู้จักใช้อาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้คงสภาพดีสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ